วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประวัติอาจารย์หนู กันภัย

นางเอกดังเดินทางมาให้อาจารย์หนูสักยันต์

ประวัติอาจารย์หนู

นี่ก็อาจารย์หนูเหมือนกัน แต่คนนี้ไม่ได้ใบ้หวย หรือให้เลขเด็ดอาจารย์คนนี้เก่งเรื่องสักยันต์ มีลูกศิษย์ลูกหา คนดังในประเทศรวมถึงดาราจากฮอลิวูด เดินทางมาสักยันต์กันแล้ว  ยันที่เลื่องชื่อที่สุดของอาจารย์หนู คือยันต์ห้าแถว

ยันต์ห้าแถวอันเลื่องชื่อของอาจารย์หนู
ประวัติ อาจารย์หนู กันภัย
นาย สมพงษ์ กันภัย หรือที่ผู้คนในวงการสักยันต์ต่างรู้จักกันในนาม อาจารย์ หนู กันภัย เป็นบุตรของนายคุณ และนางสว่าง กันภัย มีพี่น้องทั้งหมด ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่สอง เกิดเมื่อวันเสาร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ เป็นชาวอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี โดยกำเนิด เมื่อตอนเป็นเด็กนั้นนิสัยใจคอซึ่งไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น แต่มีความคิด เหมือนผู้ใหญ่ใช้ชีวิตโลดโผน และเป็นคนเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเป็นหลัก ถึงแม้ว่าบิดา-มารดาของท่านจะตักเตือนว่าอย่าออก ไปใช้ชีวิตนอกบ้านเลยเพราะยังเล็กอยู่เกรงว่าจะมีอันตราย
แต่ การใช้ชีวิตนอกบ้านนั้น ไม่ได้ไปเหลวไหลหรือเกเร สร้าง ความเดือดร้อนให้ครอบครัว แต่กลับไปนอนที่วัดกับหลวงตา ท่านรู้จัก ฝึกฝนตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก พอตกกลางคืนก็อยู่สวดมนต์ที่วัดกับหลวงตา พอตอนเช้าก็ช่วยถือปิ่นโตออกบิณฑบาตกับพระลูกวัด หลังจาก บิณฑบาตก็ไปเรียนหนังสือ ท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับวัด พอเลิกเรียน ก็ไปรับจ้างเช็ดเรือและก็ขายไอศรีมสะพายบ่า แล้วนำเงินไปให้แม่
ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรที่ทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย ท่านทำทุกอย่างทั้งๆ ที่ ครอบครัวของท่านก็พอมีพอกิน เพราะครอบครัวของท่านมีธุรกิจ ห้องเช่าพอที่จะเลี้ยงครอบครัวของท่านไม่ให้ลำบากอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ยอม อยู่นิ่งออกมาหาเงินให้กับครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะทำงานหนัก แค่ไหนท่านก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเรื่องเรียน เพราะท่านถือว่าเรื่องเรียน นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ
หลัง จากเรียนจบชั้น ป.4 จิตใจเริ่มที่จะโอนเอียงมาใฝ่ในทางศาสตร์ที่ลี้ลับ เริ่มค้นคว้าตำรับตำราเก่าๆ ที่เกี่ยวกับพระคาถา และเกิดความสนใจในเวลาต่อมา จึงได้ศึกษาตำรับตำราและพยายามจดจำในเรื่องของ เวทมนตร์ โดยหมั่นท่องตำราโบราณซึ่งเป็นของบิดาของท่านที่ได้เก็บ รักษาเอาไว้ ทำให้ยิ่งมีความศรัทธามากขึ้นไปอีก และด้วยมีใจ รักในไสยเวทเป็นชีวิตจิตใจ ท่านจึงไม่ปล่อยโอกาสให้ลอยไปเปล่าๆ ได้ใช้ความเพียรพยามยามเพื่อศึกษาวิชาจากตำราที่บิดาท่านได้ทิ้งไว้ให้ และได้ตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะต้องฝึกฝนวิชาจากตำรา เล่มนี้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
วิชา ที่ท่านได้ศึกษาเล่มนั้นเป็นวิชา ที่คนโบราณเขาร่ำเรียนกันในตำราเป็นบทสวดมนต์คาถาต่างๆ เป็น ภาษาขอมทั้งสิ้นและส่วนมากเป็นวิชาคาถาเวทมนตร์พวกเสือรุ่นเก่าๆ สมัยคุณปู่คุณพ่อเขาใช้กัน ซึ่งสมัยนั้นมีผู้คนต่างเสาะแสวงหากันมาก
เมื่อ ครั้งที่ยังเป็นเด็กอายุราว 13 ขวบ จากการที่ได้ค้นคว้าหาวิชาทางด้านอาคมและสิ่งอภินิหาร-ไสยศาสตร์-อย่างจริง จังจน สามารถที่จะเขียนภาษาขอมและอ่านอักขระขอมโบราณได้อย่าง ลึกซึ้งแล้ว ในคราวนั้นได้ศึกษาจนแกร่งกล้ากระทั่งสามารถนำเอามาใช้ กับตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างจริงจัง โดยชาวอำเภอบางบัวทอง ในละแวกนั้นต่างทราบถึงชื่อเสียงกันเป็นอย่างดีและต่างยกให้เป็น “หนู (จอมแสบ) ตั้งแต่ยังเล็ก”

ยอม รับว่าในเวลานั้นโด่งดังมาก ในพื้นที่ ต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เป็นนักเลงหัวไม้ไม่ยอมใคร และเริ่มมี กลุ่มของตัวเองคุมพื้นที่ในละแวกนั้น และต้องยอมรับว่ากำลังร้อน วิชาเพราะวิชาที่ร่ำเรียนมาเป็นวิชาคงกระพันชาตรี ทำให้ร้อนใจชอบ ลองของที่ร่ำเรียนมาว่า จะมีความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ตามที่ตำรา กล่าวมาไว้หรือไม่ เคยลองกับตัวเองหลายครั้งด้วยมีดทั้งแทงและ ฟันตัวเองด้วยความมั่นใจในวิชาที่ร่ำเรียนมา ของมีคมไม่ได้กินเนื้อเพียง แค่ถลอกนั้นยังยาก
เวลา นั้นยิ่งทำให้จิตมั่นและฮึกเหิม ใจไม่กลัวใครคิดเพียง แต่ว่าเรายิ่งใหญ่ วันดีคืนดีเรียกคนใกล้ตัวลองยิงหน่อยถึงตายก็ไม่เป็นไร รับรองไม่เอาความ ยอมรับว่าไม่รู้ทำไปได้อย่างไร ใจมันสั่งมา อย่างนั้น
อาจารย์ ตอนสมัยเป็นเด็กจนถึงวัยที่เป็นวัยรุ่นเกเรมาก มากกว่าวัยรุ่นสมัยนี้มากมายนัก เรื่องชก-ต่อย-ตี-ฟัน-แทง-มีครบเอาทุกอย่างมันร้อนวิชาจริงๆ จนกระทั่งชาวบ้านในละแวกพื้นที่บางบัวทอง ไม่มีใครเข้าใกล้ เห็นคนชื่อหนูเดินมาต้องเดินหนี สมัยนั้นหากมีเรื่อง ชกต่อยหรือตีกันที่ไหน หากบอกชื่อหนูแล้วไม่ฟังไม่ถอย ต้องเจอกัน เรื่องตี-ฟัน-แทง-ยิง- ถือเป็นเรื่องปกติเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องเจอทุกวัน และยิ่งเวลาผ่านไป วันแล้ววันเล่าก็ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จนพื้น ที่อำเภอบางบัวทอง สมัยนั้นคนชื่อหนูดังกระฉ่อนมาก ในสมัยนั้น การตีกันในแต่ละครั้งส่วนใหญ่ต้องมีคนเสียชีวิต จะเป็นด้วยตายในที่เกิดเหตุหรือกลับไปเสียชีวิตที่บ้านหรือโรงพยาบาล ก็สุดแล้วแต่ ส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะจับมือใครมาดมได้ นักเลงสมัยนั้น ไม่มีการซัดทอดกัน ที่เสียชีวิตก็ทำศพไปที่อยู่ก็สู้กันต่อไป เป็นวัฏจักร อยู่อย่างนั้น
ต่อ มา เริ่มมีการลองของขณะที่นายหนูได้หางานทำโดย ไปเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ที่ท่ารถเมล์ จังหวัดนนทบุรี ทุกครั้งที่ออกรถ ก็จะท่องคาถาที่ได้เรียนมาเป็นประจำทุกครั้ง และที่ท่ารถจะมีกลุ่ม นักเลงกลุ่มหนึ่งค่อยออกรังแกชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้าในตลาด ประชาชนที่เดินอยู่ภายในตลาดเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งนายหนู กำลังโบกรถเข้าจอดในอู่รถเรียบร้อย ก็เห็นกลุ่มนักเลงเดินโวยวาย กับชาวบ้านตลอดทาง นายหนูก็จ้องมองหน้าอย่างไม่พอใจ มันเห็นมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ก็เดินเข้ามาหาเรื่องจนชกต่อยกันยกใหญ่ และมีคนในกลุ่มนักเลงคนหนึ่งใช้มีดที่พกติดเอวมาแทงเข้าที่ท้อง และตามตัวหลายแห่ง พอดีมีตำรวจผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดี ก็ทำเอากลุ่มนักเลงวิ่งหนีกระเจิง
เมื่อ ตำรวจเข้ามาดูตามตัวของนายหนู แต่กลับไม่พบบาดแผล เห็นแต่เพียงเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นทั้งตัว เล่นเอาตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ตอนกลุ่มนักเลงแทงนายหนูอึ้งไปสักพักใหญ่ ก็ถามว่าเอ็งมีของดีอะไร ป้องกันตัว ข้าเห็นพวกมันรุมเอ็งคนเดียวแทนที่เอ็งจะเจ็บตัว ทำไม ไม่เป็นอะไร พวกมันซะอีกมีกันตั้งหลายคนแต่กลับสะบักสะบอมไป
และในวันนั้นเอง ได้มี “ซินแส” เดิน ทางผ่านมาที่บ้านนายหนู ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหน และจู่ๆ ก็เดินมาบอกกับแม่ว่า ให้ระวังลูกชาย ของท่านให้ดี เพราะเขาเป็นคนระห่ำ หากภายในสามวันลูกชาย ของท่าน รอดตายได้ก็จะเป็นใหญ่เป็นโต เป็นครูบาอาจารย์เขา มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำเอาแม่ไม่เป็นอันทำอะไรนั่งรอลูกชายอยู่หน้าบ้านด้วยอาการ ที่เป็นห่วง หลังจากได้ฟังคำทักของซินแสคนนั้น
เมื่อ กลับมาถึงบ้าน ทันทีที่เจอหน้าหนู แม่ก็บอกว่า อยากให้ หนูบวช…บวชเถอะนะจะได้ไม่วุ่นวาย… หนูก็ตอบอย่างไม่คิดอะไร…ก็แล้วแต่แม่หากต้องการที่จะให้บวชก็จะบวชให้… จะเอาวันไหน…เดือนไหน…ก็บอกมา แม่ตอบกลับมาในทันทีว่า ภายใน 3 วัน…หนูงง…เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร เพียงตอบกลับไปว่า…ตามใจแม่ 3 วันก็ 3 วัน จะบวชให้ เหมือนว่าฟ้าดิน พากันเป็นใจในวันรุ่งขึ้นมีข่าวออกมาจาก โรงพักว่าตำรวจต้องการที่จะจับหนูกับพรรคพวก และตามข่าวบอก มาว่าจะจับตายด้วยซ้ำไป เพราะตำรวจชุดที่จะเข้ามาจับนั้นรู้ดีว่า หนูคนนี้มีวิชาอาคมคงกระพัน ฟันไม่เข้า-ยิงไม่ตาย ยุคนั้นหาก มีข่าวออกมาอย่างนี้ต้องหนีอย่างเดียวเพราะไม่มีใครสามารถที่จะ ต่อสู้กฎหมายบ้านเมืองได้ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจออกกวาดล้าง
หลัง จากข่าวนี้ออกมาจนความมาเข้าหูนางสว่าง ผู้เป็นแม่ได้พาหนู เข้าไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยให้คำมั่นว่าจะพาหนู ไปบวช กับหลวงตาที่วัดระหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งห่างจากบ้านออกไปไม่ไกลนัก รุ่งเช้าจึงได้เข้าพบหลวงตาดี ที่วัดระหาร ซึ่งเป็นวัดที่มีความสนิทสนมกันกับทางบ้านเป็นอย่างมาก หลวงตาท่านบอกว่าให้บวชดีที่สุด เพราะจะได้ดัดนิสัยและหากไม่บวชในเวลานี้ อนาคตต่อไปภายหน้าไม่ดีแน่…แต่หากทำตามที่แม่และหลวงตาบอก อนาคตจะดูดีกว่า หลวงตากล่าวว่าเมื่อดูจากนิสัยใจคอแล้วไม่น่า จะเป็นคนที่ดุร้าย แต่ตรงกันข้ามจะเป็นคนที่มีใจเมตตาด้วยซ้ำไป และน่าที่จะเป็นนายคนได้ดีในอนาคต จึงได้บวชให้สมดังใจที่แม่หวังไว้
ครั้น เมื่อบวชเป็นสามเณร (ในเวลานั้นวิชาอาคมในตัวพอ ที่จะนำเอาไปใช้บ้างได้แล้ว) ก็มีเพื่อนมาหาและกล่าวถึงเรื่องราวที่ท่าน มีเรื่องกับพวกนักเลงแล้วโดนแทงมาแต่ไม่เป็นอะไร จึงมาเพื่อขอของดี แต่สามเณรบอกว่าไม่มี เพื่อนทั้งสามคน ก็บอกว่าไม่มีได้ไง เขาเห็นกัน ทั้งตลาด จนต้องจำนน
โดย เพื่อนทั้งสามคนต้องการให้สามเณรสักยันต์ให้ ก็เลย ต้องหาอุปกรณ์ในการสักให้เพื่อน ได้ไปเอาทางมะพร้าวมาเหลาเป็นทาง แล้วเอาเข็มเย็บผ้าพันเป็นเข็มสักยันต์ และหาหมึกจีนมาฝน สามเณรก็ได้สักให้จนสมใจเพื่อนแล้วก็ได้ลากลับ ไม่นานนักเพื่อนของ สามเณรไปกินเหล้าเกิดไปมีเรื่องเขม่นกับโต๊ะข้างๆ จนเกิดมีปากเสียงกัน กลุ่มเพื่อนของสามเณรที่สักยันต์กับท่านไปนั้น โดนแทงอย่างจัง แต่ไม่เข้า ไม่เป็นอะไรเลย และเรื่องนี้ก็ได้ไปเข้าหูชาวบ้านต่างพากันมาขอของดี และสักยันต์กับสามเณรหนูเป็นจำนวนมาก
ใน ระยะนั้น ข่าวคราวของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปกวาดล้าง กลุ่มนักเลง มีทั้งพวกของหนูเองและพวกของฝ่ายคู่อริ ถูกทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจกวาดล้างและถูกจับไปหลายสิบคน และพวกหัวโจกที่ทำตัวเป็น หัวหน้าถูกจับตาย เมื่อทราบข่าวของพรรคพวกใจมันร้อนลุ่มขึ้นมา ตลอดเวลา และด้วยจิตใจที่เป็นนักเลงอยากจะไปช่วยดูแลพรรคพวก ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวไป แต่มานึกถึงคำที่แม่และหลวงตา กำชับเอาไว้ จึงได้ตัดใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอดีตที่ผ่านมาอีกเลย และกลับมาเฝ้าคิดเฝ้าศึกษาถึงเรื่องพระคาถาต่อไปอีกอย่างต่อเนื่อง วันทั้งวันเอาแต่ท่องตำราพระคาถาฝึกจิตภาวนา ทำอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นหลังจากออกบิณฑบาตเรียบร้อยก็สวดมนต์ภาวนา จนกระทั่งอายุครบบวชหลวงตาดีได้บวชพระให้ โดยให้ฉายาว่า ธรรมวโร เวลาผ่านไปไม่นานนักมีกระแสข่าวเข้าหูว่า มีพระรูปหนึ่ง เวลานี้อยู่ที่จังหวัดระยอง เป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามาก ก็ขออนุญาตหลวงตา ออกเดินทางธุดงควัตรไปที่จังหวัดระยองตามลำพัง เพราะได้ทราบข่าวมาว่าที่จังหวัดระยองมีหลวงตาที่แกร่งกล้าวิชา อยู่องค์หนึ่ง หลังจากที่บอกลาหลวงตาดีและเดินทางไปที่จังหวัดระยอง เพื่อตามหาหลวงตาซึ่งทราบเบื้องต้นเพียงว่าอยู่ที่จังหวัดระยอง

จาก นั้น ก็ได้เดินทางมุ่งหน้าไปที่จังหวัดระยองเป็นที่แรก ขณะออกเดินทางพบกับความลำบากต่างๆ นาๆ ค่ำไหนนอนนั่นปักกลด ลงไปทั่ว ใต้ร่มไม้-ริมน้ำ-ข้างบ้านชาวบ้าน-กลางทุ่ง ในที่สุดต้องยอมรับ ใจตัวเองว่า ไม่มีความอดทนพอ ยอมอายตัวเองโบกรถเพื่อที่จะไป ถึงระยองให้ได้ ตลอดเวลาที่บวชอยู่นั้นได้บำเพ็ญศีลภาวนาอย่าง เคร่งครัด
ครั้น เมื่อกระเสือกกระสนไปจนถึงจังหวัดระยอง ก็ยังไม่มีที่ จำวัด ความยุ่งยากลำบากกายต่างๆ นาๆ ได้ฉันอาหารบ้าง ไม่ได้ ฉันบ้าง เดินทางตามวัดวาอารามเพื่อจำวัด บางวัดเจ้าอาวาสก็ให้จำวัด บางวัดก็ไม่ให้อาศัยไล่ลงเลยก็มี เป็นอย่างนี้นานนับเดือน จนบางครั้ง ถึงกับท้อ แต่ด้วยใจอันมุ่งมั่นจึงทำให้เดินทางต่อไปได้ ขณะออกเดิน ธุดงค์นั้นพระหนูได้ปักกลดลงไปในกลางป่า-กลางนา-ใต้ร่มไม้-บางครั้งมีชาว บ้านเข้ามาขอหวย แต่ก็ได้ปฏิเสธและตอบไปว่าเป็น พระบวชใหม่ออกธุดงค์ ชาวบ้านก็พากันเดินจากไป และความตั้งใจ ก็เริ่มเป็นผล
เมื่อ เดินทางถึงวัดระหารไร่ จังหวัดระยอง มีพระมากมายทยอย มากันที่วัด เพื่อมาทำปริวาสกรรม ต่างคนก็ต่างหาที่สงบ และก็ได้ สอบถามกับพระรูปต่างๆ พยายามพูดคุยหาพระรูปไหนที่มีวิชาอาคม ก็ได้รับคำตอบจากพระรูปหนึ่งว่า หลวงตาเขมร เวลานี้อยู่ที่วัดปลวกแดง จังหวัดระยองนี่เอง และหลวงตาเขมรท่านเป็นคนไทยนี่หละ เพียงแต่ว่า ท่านผิวดำมากเท่านั้น พระด้วยกันจึงได้ให้ฉายาว่า “หลวงตาเขมร” ซึ่งหลวงตาเขมรนั้น ในกลุ่มของพระสงฆ์ต่างทราบกันดีว่าเป็นพระที่มีวิชา อาคมและของดีในตัวมาก
จึง ได้ความคิดว่า เราน่าที่จะไปพบหลวงตารูปนี้ได้อีกไม่นาน แล้ว แต่เวลานี้มาถึงวัดระหารไร่น่าที่จะขอของดีจากหลวงปู่ทิมท่านไว้ บ้าง ก่อนที่จะเดินทางต่อไป เพราะไหนๆ ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่นั่งสนทนาธรรมกันอยู่ตามปกติ พระรูปหนึ่งที่ร่วมเดินธุดงค์นั้นกล่าวขึ้นว่า มีผ้ายันต์ของหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่อยู่ผืนหนึ่ง หลวงปู่ท่านเป็นพระรูปหนึ่งที่ในเวลานั้นมี ชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก โดยเฉพาะยันต์ของท่านนั้นถือว่าเป็นยันต์ ที่มีพุทธคุณมากมายเหลือที่จะประมาณได้



ประวัติอาจารย์หนู






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น